ปรัชญาของเต๋า Micro Economic แห่งโลกตะวันออก


ปรัชญาของเต๋า

หยินและหยางบรรจบ ตามทางวิถี

สิงสองสิ่งที่ตรงกันข้ามกันจะสมดุลกันด้วยการชักนำของวิถี

หลักหยินและหยางนั้น บอกว่าทุกสิ่งนั้นมีสองด้านมีสิ่งที่ตรงกันข้ามเสมอ เช่น
หยินกับหยาง มืดกับสว่าง ผู้ชายกับผู้หญิง กลางวันกับกลางคืน ร้อนกับเย็น รายรับกับรายจ่าย ความต้องการซื้อกับความต้องการขาย!!?? Demand supply!!?? คุณผู้อ่านประหลาดใจรึเปล่า ว่าคำนี้มันดูจะเหมือนอยู่ในหนังสือเศรษฐศาสตร์ซะมากกว่า แต่ใช่แล้วครับ หลักการของเต๋านั่นเป็นหลักการเดียวกับเศรษฐศาสตร์ ของ อดัม สมิท!!
หลักเศรฐศาสตร์บอกว่าราคาสินค้าจะอยู่ในระดับดุลยภาพ ที่ความต้องการซื้อ เท่ากับความต้องการขาย ด้วยการทำงานของมือที่มองไม่เห็น
แม้คำจะต่างกัน แต่ความหมายกลับเหมือนกัน อดัม สมิทใช้คำว่ามือที่มองไม่เห็น คอยจัดการให้ราคาสมดุลกัน ส่วนเต๋าบอกว่า วิถีชักนำให้สิ่งสองสิ่งที่ตรงกันข้ามกันให้สมดุลกัน

นี่มันเรื่องเดียวกันชัดๆ!!

จึงอาจจะกล่าวได้ว่าเต๋านั่นค้นพบหลักการที่อดัมสมิทค้นพบก่อนหน้าอดัมสมิทเป็นพันปี เต๋านั้นค้นพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะมีด้านตรงข้ามและจะอยู่ในสภาวะสมดุลลเสมอด้วยการชักนำของวิถี(มือที่มองไม่เห็น) นี่คือความลึกซึ้งของเต๋า

ที่นี้เราจะมาดูว่า วิถี หรือมือที่มองไม่เห็นนั้นทำงานอย่างไร
1 เมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป สิ่งตรงข้ามจะมากตาม
2 เมื่อสิ่งหนึ่งสิงใดน้อยเกินไป สิ่งตรงข้ามจะน้อยตาม
3 เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากเกินไป สิ่งตรงข้ามไม่มากตาม สิ่งนั้นจะลดน้อยลงมา
4 เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดน้อยเกินไป สิ่งตรงข้ามไม่น้อยตาม สิ่งนั้นจะมากขึ้น
ไม่ว่าสิ่งใดจะมากไปหรือน้อยเกินไป ไม่พอดีกับสิ่งตรงข้าม  สุดท้ายแล้วทั้งสองสิ่งจะถูกชักนำด้วยวิถี ให้กลับมาอยู่ในสภาวะสมดุล ด้วยการปรับเพิ่ม หรือลด ฝั่งใดฝังหนึ่งหรืออาจจะปรับทั้งสองฝั่งเข้าหากัน

ทีนี้ลองมาดูกับการค้าขาย
เมื่อคุณมีความต้องการขายต่ำ(ไม่อยากขาย)คุณจึงตั้งราคาขายไว้สูง ขณะที่ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อต่ำ(ไม่อยากซื้อ) จึงให้ราตาต่ำ การซื้อขายก็ไม่เกิดขึ้น การซื้อขายจะเกิดขึ้นได้เมื่อความต้องการซื้อและความต้องการขายสมดุลกัน
เมื่อการซื้อขายไม่เกิดขึ้นคุณจึงมีทางแก้ไขสองทาง
1 (กลยุทธ์ผลัก push strategy) เพิ่มความต้องการขายของคุณ หาทางลดต้นทุน ลดราคาสินค้าของคุณลงมาจนเท่ากับราคาที่ผู้ซื้อต้องการ เมื่อราคาดุลกันการซื้อขายจึงเกิด
2 (กลยุทธ์ดึง pull strategy) ดึงผู้บริโภคเข้ามา ด้วยการเพิ่มความต้องการซื้อ ด้วยการ พัฒนาสินค้าให้ดีขึ้น สวยงามน่าใช้ขึ้น เพิ่มคุณประโยชน์เพิ่มคุณภาพ ทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าของเรามากขึ้น จึงยอมจ่ายให้ราคาสินค้าของเรามากขึ้น เมื่อระดับความต้อวการซื้อกับความต้องการขายดุลกัน ราคาซื้อกับราคาขายดุลกัน การซื้อขายจึงเกิดขึ้น

กลยุทธ์การผลักและดึงนี้เป็นแก่นของหลักการตลาด ที่จะกำหนดสภาพตลาดทำให้เกิดการซื้อขายขึ้นได้ กลยุทธ์การตลาดต่างๆนั้นล้วนมีขึ้นเพื่อ พลัก หรือ ดึง ลูกค้าจนทำให้เกิดการขายทั้งสิ้น

แต่ต้องคำนึงไว้ว่าเรานั้นไม่ได้เป็นผู้เล่นเพียงรายเดียวในตลาด ในตลาดนั่นมีผู้เล่นมากมาย มีผู้ค้าและก็มีลูกค้ามากมายที่ทำให้ราคาตลาดนั้นดุลกันอยู่

ถ้าเราขายราคาสูงได้ โดยที่ต้นทุนต่ำ ทำให้เรามีกำไรมาก ก็จะมีผู้เล่นรายอื่นที่เห็นช่องว่างของกำไรนั้นโดดเข้ามาเล่นเป็นผู้ค้าด้วยเพื่อชิงส่วนของกำไรนั้นเป็นเรื่องธรรมดา จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ในตลาดแข่งขันเสรี ที่จะทำกำไรสูงจากการขายสินค้าด้วยต้นทุนต่ำในราคาสูงในระยะยาว
ดังนั้นในตลาดแข่งขันเสรีแล้ว ทั้งราคา ทั้งอัตรากำไร ในระยะยาวแล้วจะอยู่ในสภาวะสมดุลด้วยการชักนำของวิถี(มือที่มองไม่เห็น)อยู่เสมอ

แล้วตามหลักหยินหยางนั้น ถ้าเราอยากจะให้วิถีชักนำเราให้ประสบความสำเร็จเราจะต้องทำอย่างไรละ?

เมื่อหยินและหยางจะดุลกันเสมอ  ดังนั่นเมื่อเราให้ไปเท่าไหร่ก็จะได้กลับมาเท่านั้น หลักสำคัญคือต้องให้ให้มากเข้าไว้ จึงจะยิ่งได้กลับมามาก
ให้ ในที่นี้ หมายถึงการให้สิ่งที่ดี ให้ประโยชน์ ให้คุณค่า ให้คุณภาพ ให้การบริการ ให้ความสะดวกสบาย ยิ่งเราสามารถให้ลูกค้าผู้บริโภคได้มากเท่าไหร่ ลูกค้าผู้บริโภคก็จะให้เรากลับมามากเท่านั้น

แต่แรกเริ่มเดิมทีนั้น บริษัท การค้า การบริการ ต่างๆนั้นมีขึ้นเพื่อ สร้างคุณประโยชน์ แก้ปัญหา ให้กับผู้บริโภค โดยแลกกับค่าตอบแทน

ผู้ผลิต ผลิตสินค้าให้กับลูกค้า โดยผลิตสินค้าที่ลูกค้าต้องการแลกกับค่าตอบแทน  ร้านสะดวกซื้อ นำสินค้าไปขายให้ลูกค้า สร้างความสะดวกสบายให้ลูกค้าแลกกับค่าตอบแทน
ร้านอาหาร ทำอาหารให้ลูกค้าทานแลกกับค่าตอบแทน
ธนาคาร บริการสินเชื่อให้กับลูกค้าแลกกับดอกเบี้ย
โรงเรียน สอนหนังสือให้วิชาการความรู้แลกกับค่าเทอม
รัฐบาล ดูแลความปลอดภัย รักษากฏระเบียบ จัดหาสาธารณูปะโภค แลกกับเงินภาษี
โรงพยาบาล รักษาอาการป่วย แลกกับค่ารักษา
นักดนตรี เล่นดนตรีให้ความบันเทิงแลกกับค่าจ้าง
ทนายความ แก้ต่างคดี แลกกับค่าทนาย
เจ้าของที่ให้ ที่อยู่อาศัยหรือทำการค้า แลกกับค่าเช่า
พนักงานบริษัท ทำงาน แลกกับเงินเดือน
นายจ้าง ให้ค่าจ้าง แลกกับงาน
คนขับรถให้ความสะดวกในการเดินทางแลกกับค่าโดยสาร
และอื่นๆอีกมากมาย

จะเห็นได้ว่าทุกบริษัท ทุกองค์กร ทุกบุคคล นั้นล้วนให้บางสิ่งบางอย่างแกลูกค้าโดยแลกกับค่าตอบแทนกลับมา บริษัทใด องค์กรใด บุคคลใด ที่ให้มาก สามารถแก้ปัญหา สร้างคุณประโยชน์ได้มาก ก็จะได้ค่าตอบแทนมากกลับไป ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้ไม่มากพอกับที่รับ หรือรับไม่พอกับที่ให้ วิถีหรือมือที่มองไม่เห็นก็จะชักนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดคู่แข่ง เกิดการเปลี่ยนงาน ย้ายงาน ปรับลดหรือเพิ่มค่าตอบแทน จนเกิดความสมดุลในที่สุด

ดังนั้น ด้วยหลักหยินหยาง ยิ่งให้ก็จะยิ่งใด้กลับมา จึงต้องให้ให้มากเข้าไว้ จึงจะสำเร็จ


Writer's Credit : รังสรรค์ ใจอารีย์ (สามก๊ก ฉบับ start up)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปรัชญาของสุมาอี้ วิสัยทัศน์ สู่ความสำเร็จ

ปรัชญาเมิงจื่อ หลักการสำหรับพิชิตตลาด

ปรัชญาขงจื่อ (ลัทธิหยู) หลักแห่งความสำเร็จอย่างยั่งยืน