ปรัชญาซุนจื่อ ทฤษฎีเกมร์ แห่งโลกตะวันออก


ปรัชญาซุนจื่อ

รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
อันแผนการรบ หากได้ทบทวนแผนการรอบคอบดีแล้ว ชัยชนะย่อมได้มาตั้งแต่ยังไม่รบ
รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งหาใช่วิธีการอันประเสริฐสุด แต่การมีชัยโดยมิต้องรบถึงเป็นวิธีการอันประเสริฐสุด
competitor analysisand game theory
การประเมินสถานะการณ์
1 คุณธรรม
2 ดินฟ้าอากาศ
3 พื้นที่
4 ผู้บังคับบัญชา
5 กฏระเบียบ

ก่อนสงคราม
ดำเนินการฑูต
ดำเนินแผนจิตวิทยา
ดำเนินแผนกลศึก
รวมทั้งลอบสังหาร

หลักการสงคราม
กำลังเหนือกว่าสิบเท่าพึงปิดล้อม
เหนือกว่าห้าเท่าพึงโจมตี
เหนือกว่าสองเท่าพึงแยกกำลังเข้าโจมตี
เมื่อกำลังเท่ากันพึงช่วงชิงจังหวะ หากรบได้ก็พึงรบ
หากกำลังน้อยกว่า หลีกได้พึงหลีก
หากกำลังน้อยกว่า เลี่ยงได้ก็พึงเลี่ยง
หากกำลังน้อยกว่าแล้วยังมิอ่อนข้อ ย่อมต้องตกเป็นเชลยศึก

วางตนให้อยู่ในสถานะมิมีทางแพ้เสียก่อน แล้วจึงค่อยมองหาโอกาสชนะ การป้องกันตนมิให้พ่ายนั้นเป็นงานของฝ่ายเรา ทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมมีโอกาสชนะ ผู้เชี่ยวชาญการศึกจะปิดโอกาสทุกหนทางที่จะทำให้ตนพ่าย แม้ไม่ได้ชัย แต่จักไม่พ่าย

ตำราพิชัยสงครามของซุนจื่อนั้นเป็นตำราที่ได้รับการศึกษาและยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน ว่าเป็นหลักการที่ใช้ได้ผลในการชิงชัยกับองค์กรอื่น มีเนื้อความที่มีความหมายลึกซึ้งในทุกบท ทุกประโยค ซึ่งหากผู้เขียนจะกล่าวถึงทั้งหมด ผู้เขียนอาจจะต้องเขียนเป็นหนังสืออีกเล่ม ทั้งนี้ผู้เขียนขอยกแค่บางประโยคที่น่าสนใจมาตีความหมายแบบสมัยใหม่ขึ้นครับ
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
ประโยคนี้เป็นประโยคคลาสสิกของซุนจื่อ ถ้าคนรู้จักซุนจื่อก็จะรู้จักประโยคนี้ แต่คนที่รู้แค่ประโยคนี้ก็จะเข้าใจว่า ความลึกซึ้งของซุนจื่อคือ การรู้เขารู้เรา และคิดว่าซุนจื่อคือ หลักการเดียวกับ swot analysis แต่ความลึกซึ้งของซุนจื่ออยู่ที่ประโยคว่า
รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งหาใช่วิธีการอันประเสริฐสุด แต่การมีชัยโดยมิต้องรบถึงเป็นวิธีการอันประเสริฐสุด
อันแผนการรบ หากได้ทบทวนแผนการรอบคอบดีแล้ว ชัยชนะย่อมได้มาตั้งแต่ยังไม่รบ
สองประโยคนี้คือหลักการที่แท้จริงของซุนจื่อ หลักการของซุนจื่อนั้นมีความคล้ายคลึงกับทฤษฏีเกมร์หรือgame theoryมากกว่า คือเป็นการวิเคราะห์ องค์ประกอบต่างๆของทุกฝ่าย เพื่อประมวลผลว่า ถ้ารบกันแล้วผลจะเป็นอย่างไร เพื่อให้ทุกสองฝ่ายตกลงกันได้โดยไม่ต้องรบ อันเป็นหนทางอันประเสริฐสุด
โดยซุนจื่อให้แนวทาง วิธีการประเมินสถานไว้ดังนี้
การประเมินสถานะการณ์
1 คุณธรรม
2 ดินฟ้าอากาศ
3 พื้นที่
4 ผู้บังคับบัญชา
5 กฏระเบียบ

1 คุณธรรม เป็นการประเมินว่าฝ่ายใดมีความชอบธรรม มีความถูกต้องมากกว่า ผู้ที่มีความชอบธรรมถูกต้องมากกว่าก็จะได้แรงหนุนมากกว่า ถ้าคิดถึงการค้า เจ้าที่ขายสินค้าอยากเป็นธรรมมากกว่า ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค ผู้ซื้อก็จะให้การสนับสนุนมากกว่าเช่นกัน

2 ดินฟ้าอากาศ สิ่งนี้คือ การประเมินถึงกาลฟ้าเช่นเดียวกับเมิงจื่อ เป็นการประเมินถึง สภาพแวดล้อม โอกาสและอุปสรรค์ ว่าเอื้ออำนวยแก่ฝ่ายไหนมากกว่า

3 พื้นที่ สิ่งนี้คือ การประเมินถึงชัยภูมิดินเช่นเดียวกับเมิงจื่อ เป็นการประเมินถึงความพร้อม ของพื้นที่หรือตำแหน่งposition”  ว่าฝ่ายไหนอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่ากัน มีความพร้อมมากกว่ากัน จุดแข็งและจุดอ่อน ของแต่ละฝ่ายเป็นอย่างไร

4 ผู้บังคับบัญชา สิ่งนี้คือ การประเมินถึงผู้นำของแต่ละฝ่าย ว่าผู้นำของแต่ละฝ่ายเป็นอย่างไร ผู้นำฝ่ายใดมีความสามารถมากกว่า

5 กฏระเบียบ สิ่งนี้คือ การประเมินถึงกฏระเบียบขององค์กรหรือ ก็คือorganization behavior  พฤติกรรมองค์กร ฝ่ายใดที่มีกฏระเบียบ ขั้นตอน รูปแบบการดำเนินงาน รูปแบบการจ่ายเงินรางวัลสินจ้างต่างๆ  สามารถจูงใจ กระตุ้นพนักงาน ทีมงาน ที่ดีกว่า เอื้อต่อการแข่งขันได้มากกว่าย่อมได้เปรียบในการแข่งขัน

ปัจจัยทั้ง 5 นี้เป็นสิ่งที่ผู้นำต้องประเมินสถานะการณ์อยู่เสมอ เพื่อวิเคราะห์ถึงความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขัน เพื่อใช้ในการกำหนดแผนการขั้นต่อไป

หลักการสงคราม
กำลังเหนือกว่าสิบเท่าพึงปิดล้อม
เหนือกว่าห้าเท่าพึงโจมตี
เหนือกว่าสองเท่าพึงแยกกำลังเข้าโจมตี
เมื่อกำลังเท่ากันพึงช่วงชิงจังหวะ หากรบได้ก็พึงรบ
หากกำลังน้อยกว่า หลีกได้พึงหลีก
หากกำลังน้อยกว่า เลี่ยงได้ก็พึงเลี่ยง
หากกำลังน้อยกว่าแล้วยังมิอ่อนข้อ ย่อมต้องตกเป็นเชลยศึก

หลักการสงคราม ของซุนจื่อคือ แนวทางในการกำหนดแผนการหลังจากได้ประเมินสภานะการแล้ว
1 กำลังเหนือกว่าสิบเท่าพึงปิดล้อม  หากกำลังเหนือกว่ามาก เพียงแค่กดดันตัดช่องทางต่างๆของอีกฝ่ายก็สามารุชนะได้ เช่นบริษัทใหญ่กับบริษัทเล็กที่มีขนาดต่างกันมาก แค่ใช้ กำลังอำนาจที่มีตัดช่องทางการค้า  ก็สามารถบีบให้บริษัทใหม่ที่เล็กกว่าแพ้ได้  

2 เหนือกว่าห้าเท่าพึงโจมตี หากกำลังเหนือกว่ามาก แต่ไม่พอจะปิดล้อมก็ใช้กำลังที่มากกว่าเข้าเอาชัย เช่นบริษัทใหญ่กับบริษัทที่เล็กกว่า แต่ไม่เล็กขนาดพอให้กดดันปิดช่องทางต่างๆได้ ก็ใช้การแข่งขันกันทางการค้าตรงๆ ด้วยทุนที่มากกว่าย่อมสามารถเอาชนะได้

3 เหนือกว่าสองเท่าพึงแยกกำลังเข้าโจมตี  หากกำลังมากกว่าไม่มาก ให้แยกกำลังของเราเข้าโจมตี ไม่ควรหักเข้าโจมตีโดยตรงแต่ควรอาศัยความได้เปรียบจากความเหนือกว่าแยกเจ้าโจมตีสองทาง เช่น บริษัทที่ขนาดใหญ่กว่าไม่มาก ไม่สามารถเอาชัยบริษัทคู่แข่งอีกฝ่ายได้โดยตรง จึงต้องปรับกลยุทธ์เพิ่มสินค้า เพิ่มช่องทางจัดจำหน่าย เป็นการแยกช่องทางโจมตีคู่แข่งที่ไม่สามารถแยกกำลังมาแข่งขันกับเราได้ จึงเป็นกลยุทธ์ที่ อาศัยความได้เปรียบจากการมีกำลังมากกว่า ให้เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขัน

4  เมื่อมีกำลังเท่ากันพึงช่วงชิงชังหวะ หากรบได้พึงรบ
เมื่อมีกำลังเสมอกันใกล้เคียงกันทำให้ชิงชัยกันได้ยาก ต้องอาศัยจังหวะเพื่อชิงความได้เปรียบ เมื่อได้เปรียบรบได้แล้วจึงรบ เช่น บริษัท 2 บริษัท มีขนาดพอๆกัน ไม่สามารถเอาชัยกันได้ ต่างฝ่ายต่างก็ประเมินสถานะการณ์ซึ่งกันและกันอยู่ตลอด จนเมื่อสถานะการณ์เปลี่ยน เช่น คุณธรรมเปลี่ยน ค่านิยมของผู้บริโภคเปลี่ยน หรือสภาพแวดล้อมปัจจัยภายนอกองค์กรเปลี่ยน หรือปัจจัยภายในองค์กรเปลี่ยน หรือเกิดการเปลี่ยนผู้นำองค์กร หรือกฏระเบียบในองค์กรเปลี่ยน เหตุใดเหตุหนึ่ง ก็ทำให้สถานะการณ์เปลี่ยน เมื่อสถานะการณ์เปลี่ยนผู้ที่สามารถอาศัยความได้เปรียบจากการเปลี่ยนแปลงได้ก็สามารถมีชัยได้

5 หากกำลังน้อยกว่า หลีกได้พึงหลีก เลี่ยงได้พึงเลี่ยง หากกำลังน้อยกว่าแล้วยังไม่อ่อนข้อย่อมต้องตกเป็นเชลยศึก เมื่อองค์กรเรามีขนาดเล็กกว่าพึงหลีกเลี่ยงในการแข่งขันทางตรงกับองค์กรใหญ่ เพราะหากแข็งขืน ย่อมต้องพบกับความพ่ายแพ้จนตกเป็นเชลยศึก เช่น บริษัทเล็กกว่า เมื่อต้องเผชิญกับบริษัทที่ใหญ่กว่า ย่อมไม่สามารถไปแข่งขันโดยตรงกับบริษัทที่มีกำลังมากกว่าได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางตรง โดยอาจจะไปทำการค้าทำตลาดที่เล็กกว่า หรือ ตลาดเฉพาะ (Nich maket) ซึ่งเป็นตลาดที่บริษัทใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจ จึงจะสามารถอยู่รอดต่อไปได้ จนเมื่อเติบโตเข้มแข็งพอแล้วจึงค่อยคิดการต่อไป หากบริษัทยังเล็กแต่ไม่อ่อนข้อคิดไปแข่งขันตรงๆกับบริษัทใหญ่ย่อมพบกับความพ่ายแพ้ เสียหาย จนถึงกับต้องตกเป็นเชลย เสียบริษัทให้กับคู่แข่ง

หลักการนี้ เป็นหลักการเพื่อกำหนดกลยุทธ์ขององค์กรเมื่อประเมินสถานะการณ์เป็นอย่างดีแล้ว และต้องพึงคิดไว้เสมอว่า ไม่ได้มีเพียงเราเท่านั้นที่ประเมินสถานะการณ์อยู่ องค์กรอื่นนั้นเค้าก็ประเมินสถานะการณ์ของเค้าอยู่เสมอเช่นกัน ดังนั้น เมื่อต่างฝ่ายต่างประเมินซึ่งกันและกันแม้นไม่ได้รบกันก็ย่อมรู้ถึงผลลัพท์ของการรบกันตามประโยคที่ว่า

อันแผนการรบ หากได้ทบทวนแผนการรอบคอบดีแล้ว ชัยชนะย่อมได้มาตั้งแต่ยังไม่รบ
เมื่อต่างฝ่ายต่าวประเมินสถานะการณ์และคิดวิเคราะห์อย่างดีแล้ว การทำตนให้อยู่เข้มแข็งและอยู่ในสถานะการณ์ที่แข็งแกร่งกว่าคู่แข่งแล้วแม้นไม่ต้องรบก็สามารถชนะได้ตามประโยคที่ว่า
รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งหาใช่วิธีการอันประเสริฐสุด แต่การมีชัยโดยมิต้องรบถึงเป็นวิธีการอันประเสริฐสุด
หลักการนี้จึงเป็นดั่งทฤษฎีเกมร์” (Game theory)ที่อาศัยการกระทำของเราเพื่อกำหนดผู้อื่น เพราะต่างฝ่ายต่างก็เล่นอยู่ในเกมร์ ประเมินสถานะการณ์และคิดวิเคราะห์การกระทำของอีกฝ่ายอยู่เสมอ เพื่อหาผลลัพท์ที่ดีที่สุดให้กับตน
ดังนั้นผลแพ้ชนะจึงไม่ได้ตัดสินกันที่การรบเพียงอย่างเดียว แต่ผลแพ้ชนะนั้นถูกตัดสินกันที่การกระทำก่อนที่การรบจะเกิดขึ้น กิจกรรมก่อนการรบนั้นซุนจื่อกล่าวไว้ดังนี้
ก่อนสงคราม
ดำเนินการฑูต
ดำเนินแผนจิตวิทยา
ดำเนินแผนกลศึก
รวมทั้งลอบสังหาร

ก่อนการรบสิ่งที่ทำให้มีผลแพ้ชนะกับการรบ
1 ดำเนินการฑูต ในปัจจุบันคือการหาพาทเนอร์ชิพ การหาซัพพลายเออร์ที่ดี การมีดีลเลอร์ที่ดี มีผู้ผลิตที่ดี ถ้าเราสามารถหาซัพพลายเออร์ที่ดีได้เราก็สามารถลดต้นทุนของเรา และทำให้สินค้าเรามีคุณภาพที่ดี เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่ง ดังนั้นก่อนการรบการทูตจึงสำคัญที่สุด
2 ดำเนินแผนจิตวิทยา การเคลื่อนไหวการกระทำต่างๆของเราจะส่งผลต่อองค์กรคู่แข่งเสมอ เช่นการเล่นข่าวของบริษัทต่างๆ การรับสมัครคนงานเพิ่ม เพิ่มทุนขยายกิจการ การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ การประกาศลดราคาสินค้า การโฆษณาต่างๆ ข่าวเหล่านี้จะสร้างผลกระทบต่อองค์กรคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นเนื่องจริงหรือไม่ก็ตาม นี่เป็นแผนการโจมตีทางจิตวิทยา

3 การดำเนินแผนกลศึก ก็คือแผนการรบ แผนการดำเนินกิจการของเราว่าเราดำเนินกิจการอย่างไร แข่งขันอย่างไร มีกลยุทธ์อย่างไร ในการเอาชัยคู่แข่งขัน

4 การลอบสังหาร หัวข้อนี้คุณผู้อ่านอาจจะคิดว่า สมัยนี้แล้วยังจะมีการลอบสังหารกันอีกเหรอเนี่ย ก็ต้องขอบอกไว้ว่ายุคสมัยนี้การลอบสังหารเกิดขึ้นเป็นประจำ!! การลอบสังหารคือการดึงตัวบุคลากรที่มีคุณภาพจากองค์กรคู่แข่ง เป็นกลยุทธ์ที่องค์กรใหญ่มักจะใช้ ค่าตอบแทนที่สูงกว่าดึงตัวบุคลากรที่มีความสามารถจากองค์กรเล็กกว่า ทำให้องค์กรเล็กไม่สามารถแข่งขันกับองค์กรใหญ่ได้ในระยะยาว เพราะขาดบุคลากรที่มีคุณภาพในการแข่งขัน

กิจกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนหรือระหว่างการรบ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการแพ้ชนะดังนั้นก่อนรบจึงต้องดำเนินการเหล่านี้เพื่อให้องค์กรของเรามีความได้เปรียบที่สุด

เพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของการเตรียมการก่อนการรบ จะขอยกตัวอย่างสมมุติว่า สมมุติว่าผู้อ่านได้ดูหนังเรื่อง วัยรุ่นพันล้าน หรือเห็นความสำเร็จของสุดยอด start up เมืองไทยอย่าง คุณต็อบ เถ้าแก่น้อย ที่ขายขนมสาหร่ายจนประสบความสำเร็จ แล้วก็คิดอยากจะดำเนินตามรอยเถ้าแก่น้อย โดยคิดว่าคุณนั้นทำขนมสาหร่ายได้อร่อยกว่าเถ้าแก่น้อย เลยคิดจะทำขนมสาหร่ายขายตามคุณต็อบซะเลย ถ้าคิดได้อย่างนั้น นั่นคุณมาผิดทางแล้วครับ!!
เพราะคุณกำลังคิดจะไปแข่งกับองค์กรขนาดใหญ่อย่างเถ้าแก่น้อย และเมื่อคุณเริ่มจะหาพันธมิตรคุณก็จะพบว่าพันธมิตรที่คุณต้องการนั้น อยู่ฝ่ายเถ้าแก้น้อยหมด เริ่มตั้งแต่ แผ่นสาหร่าย คุณไม่มีทางหาได้ถูกกว่าถ้าถูกกว่าก็ไม่ได้คุณภาพที่ดีเท่า จนถึงแพคเกจจิ้งคุณก็ไม่สามารถหาซองใส่ขนมคุณภาพดีราคาถูกได้เท่ากับเถ้าแก่น้อย จนเมื่อคุณจะขาย คุณจะขายผ่านโมเดิร์นเทรด อย่าง 7-11 top lotus หรือห้างอะไรคุณก็จะพบว่าโมเดิร์นเทรเหล่านี้ล้วนเป็นพันธมิตรของเถ้าแก่น้อย เค้าจึงไม่อยากจะจัดจำหน่ายให้รายย่อยแบบคุณ คุณแค่จะหาช่องทางขายก็ยากแล้ว ไหนจะต้นทุนที่สูงต่างกันแบบแข่งขันกันไม่ได้  นี่คือความต่างของผู้ที่มีกำลังกันเกิน 10 เท่าของซุนจื่อ เถ้าแก่น้อยเพียงทำตนให้แข็งแกร่งคู่แข่งรายย่อยก็ไม่สามารถที่จะเข้ามาแข่งขันได้แล้ว แม้ว่าคุณจะทำขนมสาหร่ายได้อร่อยกว่าเถ้าแก่น้อยก็ตาม

ดังนั้นถ้าคุณชื่นชอบผู้ที่ประสบความสำเร็จรายใด จำไว้ว่าคุณสามารถเอาวิธีคิด แนวคิด วิธีการดำเนินงานของเค้ามาใช้ได้ แต่คุณไม่สามารถที่จะเลียนแบบเค้าได้ เพราะถ้าคุณเลียนแบบก็เท่ากับคุณแพ้เค้าตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว

อีกสิ่งที่ซุนจื่อบอกไว้และผู้เขียนเห็นว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือเรื่องเกี่ยวกับเป้าหมายของการดำเนินงาน

วางตนให้อยู่ในสถานะมิมีทางแพ้เสียก่อน แล้วจึงค่อยมองหาโอกาสชนะ การป้องกันตนมิให้พ่ายนั้นเป็นงานของฝ่ายเรา ทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมมีโอกาสชนะ ผู้เชี่ยวชาญการศึกจะปิดโอกาสทุกหนทางที่จะทำให้ตนพ่าย แม้ไม่ได้ชัย แต่จักไม่พ่าย

เมื่อเราเริ่มต้นทำอะไรสิ่งที่ทุกๆคนคิดตั้งเป็นเป้าหมายไว้เป็นอย่างแรกคือ เราจะประสบความสำเร็จ เราจะชนะคู่แข่งขัน เราจะทำกำไร เราจะเติบโตเป็นบริษัทใหญ่ซึ่งก็ไม่ผิด แต่เป้าหมายอย่างแรกที่ต้องตั้งไว้ในการทำอะไรก็ตามคือต้องรอดให้ได้ก่อน
เราจะไม่ชนะก็ไม่เป็นไรสำคัญที่ว่าเราต้องไม่แพ้เสียก่อน ตราบใดที่เรายังไม่แพ้เราย่อมมีโอกาสที่จะชนะ แต่ถ้าเราหลงไปกับความโลภในผลกำไรกับความสำเร็จเราก็อาจจะประเมินวิเคราะห์สถานะการผิดพลาดจนพ่ายแพ้ได้ ในมุมของธุรกิจ ต้องรอดนั้นคือ ธุรกิจนั้นสามารถทำ break even point หรือสามารถไปถึงจุดคุ้มทุนได้ นั่นจึงเป็นเป้าหมายอย่างแรก ของทุกธุรกิจ ที่ต้องใส่ใจเป็นอย่างแรก การทำตนให้แข็งแกร่งอยู่เสมอเพื่ออยู่รอดนั่นจึงเป็นแก่นแท้ของซุนจื่อ

Writer's Credit : รังสรรค์ ใจอารีย์ (สามก๊ก ฉบับ start up)



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปรัชญาของสุมาอี้ วิสัยทัศน์ สู่ความสำเร็จ

ปรัชญาเมิงจื่อ หลักการสำหรับพิชิตตลาด

ปรัชญาขงจื่อ (ลัทธิหยู) หลักแห่งความสำเร็จอย่างยั่งยืน